การจัดเรียงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ บนชั้นวางสินค้า อาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพราะมีแบรนด์มากมายที่เพิ่มความท้าทายให้คุณว่าจะทำยังไงให้สินค้านั้น ๆ โดดเด่นแบบ Out Standing ออกมา
แม้ว่าร้านค้าปลีกของคุณ จะมีขนาดพื้นที่เล็ก ๆ หรือไม่ได้มีแผนผังร้านค้าที่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะทำได้ก็คือ
“การจัดเรียงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย ทำให้สินค้าบนชั้นวางสามารถสร้างมูลค่า และทำกำไรได้มากขึ้น”
แล้วจะทำยังไงล่ะ? ถึงจะจัดการส่วนต่าง ๆ บนชั้นวาง ให้สินค้าขายดี ทำกำไรได้ ตามมาอ่านบทความนี้กันเลย
การจัดเรียงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย สำคัญอย่างไร?
ชั้นวางสินค้า เป็นจุดที่ถูกกำหนดให้เป็นบริเวณที่การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นกับผู้บริโภค มันจึงกลายเป็นจุดสำคัญ ที่เจ้าของร้านค้าปลีกทุกคนจะต้องปรับปรุง และใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้สินค้าขายออกไปได้มากที่สุด
“การจัดเรียงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายในแต่ละส่วน จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มยอดขาย”
เพราะมันสร้างผลกระทบ ในเรื่องของ
- ความน่าสนใจ
- ความน่าซื้อ
- ความสะดวกในการหยิบ
- ความเป็นระเบียบของสินค้า
ถ้าคุณสามารถจัดการสินค้าบนชั้นวางในแต่ละจุดได้เป็นอย่างดี และปรับปรุงให้ทุกจุดมีประสิทธิภาพอยู่เสมอล่ะก็.. ลูกค้าของคุณ จะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการช้อป ส่วนคุณเอง ก็จะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้ แถมสร้างยอดขายได้มากขึ้นอีก ถือว่าต่างฝ่าย ต่างก็ได้ประโยชน์แบบ Win-Win ทั้งคู่ จริงไหมคะ? 🙂
1. แนวทางการเลือกชั้นวางสินค้าที่เหมาะสม
หากมีชั้นวางที่เหมาะสมกับสินค้า ไม่ว่าคุณจะจัดเรียงสินค้าประเภทไหนเพื่อเพิ่มยอดยอดยอดขาย มันก็จะทำได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น
1.1) รูปทรงและการออกแบบ ต้องสวยงามมีมาตรฐาน
ชั้นวางสินค้าที่ดีควรจะต้องมีรูปทรงและการออกแบบที่ได้มาตรฐาน มีสีสันที่สวยงาม เข้ากับธีมของร้าน หรือเข้ากับสินค้าที่คุณจะนำเสนอ
รูปทรงการออกแบบชั้นวางที่สวยงาม
1.2) เพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่
ไม่ว่าพื้นที่ร้านค้าจะเล็กหรือกว้าง ชั้นวางสินค้าที่ดี จึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ร้านค้านั้น ๆ และควรมีดีเทลเล็ก ๆ เพิ่มเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในการโชว์สินค้า และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ด้วย เพราะในทุก ๆ พื้นที่ของชั้นวางสินค้านั้น มีการแข่งขันสูงระหว่างผลิตภัณฑ์ด้วยกันเอง
หากมีชั้นวางที่มีดีเทลหรือลูกเล่นต่าง ๆ ที่ช่วยจัดการกับพื้นที่ในการนำเสนอสินค้าได้อย่างมีชั้นเชิง มันก็จะทำให้ร้านค้าของคุณมีจุดที่น่าสนใจ และสินค้าก็น่าซื้อด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ชั้นวางสินค้าที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรูปแบบของสินค้า
- ชั้นตะกร้า สำหรับวางขนม
- ชั้นวางปากกา ที่ใช้วางปากกาโดยเฉพาะ
- ชั้นแกนโรล ที่ออกแบบพิเศษ ให้สามารถโชว์สินค้าประเภทสายไฟได้
ตัวอย่างชั้นตะกร้า ชั้นวางปากกา และชั้นแกนโรล
-
ชั้นวางสายไฟ ชั้นแกนโรล 5 ชั้นรวมฐาน ขนาด 50x90x180 cm
-
ชั้นตะกร้า Robust ขนาด 120 cm.1,750 ฿ – 2,750 ฿
-
ชั้นวางปากกา600 ฿
1.3) อายุการเก็บรักษา
ทุกคนที่ลงทุนเปิดร้านส่วนใหญ่ ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการเลือกชั้นวางก็คือ ชั้นวางสินค้านั้น จะต้องมีความแข็งแรง ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และมีอายุการใช้งานอย่างยาวนาน แบบที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อหลาย ๆ รอบ เพื่อความคุ้มค่ากับการลงทุน
ฉะนั้นคุณควรจะต้องเลือกชั้นวางสินค้าที่มีการออกแบบสวยงาม, วัสดุมีคุณภาพ, เพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่ได้ และใช้งานได้อย่างยาวนาน
2. เพิ่มป้ายติดชั้นวางสินค้า (On-shelf communication solutions)
ภาพตัวอย่างการเพิ่มป้ายบนชั้นวาง
บริเวณนี้จะเป็นจุดที่ใช้สำหรับติดตั้งป้ายราคาและป้ายโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก ๆ เพราะมันคือจุดที่ใช้สื่อสารกับลูกค้า ให้พวกเขาเดินผ่านแล้วรู้สึกอยากหยุดอ่านที่ป้าย
- ป้ายโฆษณาติดชั้นวาง (Shelf talker)
- ป้ายติดบนหัวชั้น (Head Board)
- โปสเตอร์ขายสินค้า
- ป้ายติดด้านข้างของชั้น
- แบนเนอร์
- ที่ใส่โบรชัวร์
- ที่ใส่คูปอง
- ป้ายเด้งติดที่ชั้น (Wobbler)
- หน้าจอสกรีนดิจิตัล (Digital screens)
“เพิ่มจุดขายของส่วนนี้
ด้วยการทำให้พวกเขารู้สึกสะดุดตา
จากนั้นก็เพิ่มเนื้อหาให้สะกดใจ”
ฉะนั้นจึงควรทำป้ายราคา หรือเพิ่ม Shelf talker เข้าไปให้น่าสนใจ มีความดึงดูดสายตาสูง อาจจะใส่ข้อความเล็ก ๆ เพื่อให้ลูกค้าอ่านแล้วได้ประโยชน์ หรือได้ทราบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
หรือคุณอาจจะเพิ่มลูกเล่น เช่น ไฟ LED เข้าไปให้เป็นจุดนำสายตาก็ได้นะ ถ้าคุณทำได้ดี มันมีโอกาสที่จะโกยลูกค้า ให้เข้าไปตกอยู่ในห้วงร้านค้าปลีกของคุณแน่นอน
3. มีสินค้าให้เลือกเยอะบนแผ่นชั้นวางสินค้า (Shelf tray)
ตัวอย่างชั้นวางที่มีสินค้าให้เลือกเยอะ
ในระหว่างที่ผู้คนกำลังประเมินสินค้าว่าจะ ซื้อดีมั้ย? หรือไม่ซื้อดี? พวกเขาจะถือสินค้านั้นไว้ในมือ และอ่านคุณสมบัติด้านหลังของบรรจุภัณฑ์ จากนั้นพวกเขาก็วางมันกลับไปไว้ที่เดิม เพราะอะไรล่ะ? เพราะเดี๋ยวนี้ นักช้อปทั้งหลายไม่ได้ซื้ออะไรง่าย ๆ อย่างที่คิด
ส่วนใหญ่คนสมัยนี้ เป็นนักช้อปมือฉมัง.. ต้องดูรีวิวจากอินเทอร์เน็ต ดู feed back ของผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น ๆ ก่อนที่จะเลือกซื้ออย่างถี่ถ้วน เพราะเหตุนี้ เมื่อพวกเขาต้องเลือกซื้อสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง มันจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ เป๊ะปัง และแม่นยำ
การมีสินค้าที่หลากหลาย ให้ลูกค้าได้เลือกสรร บนชั้นวางสินค้าที่รับน้ำหนักได้เยอะ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้
“ยิ่งผลิตภัณฑ์บนชั้นวางสินค้ามีเยอะมากเท่าไหร่ นักช้อปก็จะยิ่งเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อมากขึ้นเท่านั้น”
ดังนั้น… บริเวณแผ่นชั้นวางสินค้า จึงต้องมีการออกแบบมาให้รองรับสินค้าจำนวนมาก ๆ ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง มีความพรีเมี่ยม ไม่ใช้วัสดุที่พังง่าย และต้องจัดสรรพื้นที่ของสินค้าเป็นอย่างดี
4. อุปกรณ์แบ่งสินค้าบนชั้นวาง (Shelf divider system)
อุปกรณ์แบ่งสินค้าบนชั้นวาง มันถูกพัฒนาเพื่อลดเวลาที่ใช้ในการจัดเรียงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายบนชั้นวาง ให้เป็นมีความเรียบร้อยและเรียงกันอย่างระเบียบ ช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ให้โดดเด่นมากขึ้นไปอีก และยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าได้อย่างหลากหลาย เป็นอุปกรณ์เสริมที่ติดตั้งได้ง่าย และยังช่วยให้ชั้นวางสินค้า มีดีเทลที่น่าสนใจมากขึ้น
ภาพตัวอย่าง Shelf divider system
5. อุปกรณ์ดันสินค้าให้เติมเองแบบอัตโนมัติ (Shelf pusher system)
หลาย ๆ คน คงเคยไปซื้อน้ำดื่มที่ร้านสะดวกซื้อใช่ไหมคะ ใน ตู้แช่ มีขวดน้ำหลากหลายยี่ห้อตั้งเรียงรายกันอยู่ เวลาเราหยิบขวดน้ำออกมา ขวดต่อไปก็จะเข้ามาเติมพื้นที่ว่างเองโดยอัตโนมัติ
การมีอุปกรณ์ดันสินค้าไว้ในตู้แช่ นอกจากจะเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภคแล้ว มันยังสามารถเพิ่มความสบายให้กับคนจัดเรียงสินค้าอีกด้วย เพราะมันให้คุณไม่ต้องไปจัดเรียงสินค้าเองอยู่บ่อย ๆ ทั้งลดเวลาและเพิ่มความเป็นระเบียบให้ทั้งชั้นวางสินค้าในร้านค้าของคุณได้เป็นอย่างดี
ภาพอุปกรณ์ดันสินค้า : Pic by shelf-management-system
✔สรุป
การจัดเรียงสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย ไม่ใช่เพียงแค่การจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางสินค้าเท่านั้น แต่หาก ชั้นวางสินค้า ของคุณ เพิ่มดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เข้าไป องค์ประกอบทุกอย่างในร้านค้าปลีกก็จะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
นอกจากที่มันก็ทำให้ร้านค้าดูดี ดูน่ามอง และมันยังสามารถทำให้ร้านดูเป็นระเบียบ เพิ่มความน่าซื้อหา เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า
ผลที่ตามมาคือ พวกเขามีความประทับใจ และกลับมาซื้อซ้ำในที่สุด ถ้าทำได้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ยังไงคำว่า “ยอดขายปัง ๆ” ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ
ขอบคุณแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจาก : display